จนถึงทุกวันนี้รู้สึกว่าตัวเองฉลาดขึ้นนิดหน่อยแล้วกับการเลือกซื้อหนังสือของนักเขียนที่ไม่เคยรู้จัก โดยหาข้อมูลจากรีวิวที่นักอ่านหลายๆ คนทำเอาไว้ ซึ่งมีประโยชน์มากๆ ค่ะ เพราะทุกวันนี้หนังสือมากมายเหลือเกิน จะให้ลองเองทุกเล่มคงไม่ไหว ถ้ามีใครอ่านแล้วชอบ ก็เป็นสิ่งนึงที่ใช้พิจารณาเลือกหนังสือได้ โดยเฉพาะถ้าคนๆ นั้นรสนิยมคล้ายๆ กับเรา
แต่...ถึงจะคล้ายยังไง รสนิยมคนเรามันก็ไม่มีทางเหมือนกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราอาจเคยเลือกซื้อตามคนนี้มาตลอดไม่ผิดหวัง แต่วันนึง อาจจะมีบางเล่มที่เขาชอบ แต่ไม่โดนใจเราอย่างแรง เรียกว่าถูกใจซัก 8 ในสิบ หรือน้อยกว่านั้น...ถึงยังไง ก็ยังดีกว่าไม่มีไกด์เลยว่าเล่มไหนควรอ่าน หรือน่าสนใจใช่มั้ยล่ะคะ...ใช่สินะ เพราะเหตุนี้ ก่อนจะซื้อหนังสือซักเล่ม ถ้าไม่ใช่นักเขียนที่ชอบอ่านประจำแล้ว จะต้องพยายามหารีวิวซักอันมาอ่านก่อนให้ได้
หนังสือที่ใครๆ ว่าสนุก หรือด่าว่าไม่สนุกอย่างแรง(ด้วยเหตุผลที่เขาไม่ชอบเผอิญถูกใจเรา) เราก็เลือกหนังสือเล่มนั้นมาอ่าน อาจจะอยากรู้อยากเห็น ว่ามันดียังไง แย่อย่างที่ว่าจริงไหม หรือไอ้ที่เขาว่าแย่ดันเป็นเหตุผลที่เราชอบพอดี
ปัญหาใหญ่ของการเลือกหาหนังสือมาอ่านตามรีวิวไม่ใช่เรื่องการหาแหล่งที่รีวิวดีๆ หรอกค่ะ จากประสบการณ์ของตัวเอง ปัญหาใหญ่ในการซื้อตามที่เขาว่าก็คือ พอซื้อหาหนังสือเล่มนั้นๆ มาได้แล้ว ก่อนที่จะอ่านมัน ในใจเรามี...ความคาดหวังบางอย่าง...จากมันซะแล้ว
เรื่องที่คนว่าสนุกมากๆ มักมีปัญหาที่สุด เพราะเห็นเขากรี๊ดกร๊าดกันทั่วไปหมด เราก็เลย "คาดหวัง" สูงมาก ว่ามันจะต้องสนุกสุดๆ ได้อย่างใจเรา ซึ่ง เจ้าความคาดหวังสูงอันนี้เอง ที่ทำลายรสชาติของการอ่านหนังสือเล่มนั้นของเราไปโดยไม่รู้ตัว เราจะพบว่า มันสนุกน้องลงกว่าที่คาด (เพราะคาดไว้สูงเกิน) และคอยจะเห็นข้อผิดพลาดมากกว่าปกติ ทั้งๆ ที่ถ้าเราเผอิญหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาอ่านโดยไม่เคยรู้จัก ไม่ได้คาดหวังอะไรแล้ว เราอาจพบว่า เฮ้ย มันเจ๋งนี่หว่า และมองข้ามข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ ของมันไปได้มากกว่าตอนที่เราคาดหวังกับมันมากๆ
ตรงกันข้าม เรื่องที่คนด่ามากๆ เราคาดหวังว่ามันจะห่วย เวลาอ่าน เราก็จะทำใจได้แล้ว กับความห่วยในจุดต่างๆ ที่คนอ่านคนก่อนๆ ได้ชี้ให้เห็น ดังนั้นจิตใจเราจะไม่ไปติดกับความไม่ถูกไม่ดี หรือผิดพลาด แต่กลับมองเห็นสิ่งดีๆ ที่แฝงตัวอยู่มุมเล็กๆ ของหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาซะได้
มันอาจจะเป็นธรรมชาติของคนดื้อ ที่ชอบเห็นต่าง หรือว่าไม่ค่อยจะยอมเชื่ออะไรง่ายๆ เขาว่าดีๆๆ ในใจเราก็จะมีมุมเล็กๆ ที่สงสัยว่า ดีจริงหรือ ยิ่งบอกดีมาก ก็สงสัยมาก เลยพาลหาจุดบกพร่องซะ ส่วนเรื่องที่เขาด่าๆๆๆ ยิ่งด่ามาก เราก็ยิ่งสงสัย ว่ามันแย่ขนาดนั้นจริงเหรอ ไม่มีอะไรดีเลยเหรอ อะไรทำนองนี้
ความคาดหวัง ทั้งทางดีและร้ายนี่เอง ที่บางที มันทำลายประสบการณ์การอ่านครั้งนั้นของเราไป ซึ่งตัวเองเคยเป็นแล้วไม่ชอบเลย พออ่านแล้ว ทำให้ความเห็นต่อหนังสือเล่มนั้นของเรา ไม่เป็นกลาง หรือเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นไปด้วย
ตัวอย่างความผิดพลาดที่ตัวเองผ่านมาก็คือ หลายเล่มเคยอ่านแล้วไม่ชอบ เพราะคาดหวังสูงไป หลายปีผ่านไปหยิบมาอ่านอีกหน ทำไมชอบขึ้นมาได้ แล้วก็ย้อนนึกไปว่า อ๋อ เราลืมไปแล้วว่าเมื่อก่อนเราคาดหวังอะไรไว้ก่อนเปิดอ่าน เสียดายเลย ว่าทำไมตอนนั้นเราคิดอย่างนั้นนะ ทั้งๆ ที่หนังสือก็ดีแท้ๆ หลายคนเขาก็ว่าดี และตอนนี้ เราก็อ่านมันอย่างใจว่างๆ ไม่อคติ แล้วพบว่ามันก็ดีจริงๆ น่ะสิ เป็นไงล่ะ เสียเวลาเลย ถ้าไม่หยิบมาอ่านอีกรอบจะรู้มั้ย เหมือนเสียเงินค่าหนังสือไปฟรีๆ แล้วถูกความคาดหวัง หรืออคติบังตา อ่านเหมือนไม่ได้อ่าน เหมือนไม่ได้ลิ้มรสแท้ๆ ของหนังสือเล่มนั้นเลย
ปัจจุบันนี้ หลังจากที่ผ่านเรื่องราวแบบนั้นมาแล้ว เราก็รู้สึกว่ามีจิตใจมั่นคงขึ้น (แม้จะไม่ได้มั่นคงไปซะทุกหน) รู้จักการเลือกว่า ต้องตั้งสติก่อนนะ อืม...เล่มนี้เขาว่าดี ก็ลองดูหน่อย แต่สามารถทำใจกลางๆ คือปรับความคาดหวังของเรา ก่อนจะเปิดหนังสือทุกเล่ม ให้เป็นระดับมาตรฐาน ว่ามันอาจดี หรือแย่ก็ได้ เราต้องตัดสินเอง พอปรับตรงนี้แล้ว รู้สึกว่า การอ่านเป็นไปด้วยดีมากขึ้น ได้มองเห็น ได้ลิ้มรส หนังสือเล่มนั้นๆ อย่างที่มันเป็น ด้วยความเห็นของตัวเราจริงๆ ไม่ต้องอิงความเห็นใคร หรือมีความคาดหวังใดๆ มาย้อมสีแว่นของเราให้มันผิดเพี้ยนไปจากที่ควร
อาจเป็นเพราะซื้อหนังสือตามรีวิวมาแล้วมากมาย บางเล่มคนรีวิวเป็นหลายพัน เขาชอบกันจะตาย เรากลับไม่ถูกใจนัก บางเล่มคนชอบเยอะเหมือนกัน เราก็ชอบด้วย คือไม่ตั้งหน้าตั้งตาจะคิดเห็นค้านกับใคร หรือคล้อยตามใครอีก และก็ไม่หวังว่า ไอ้ที่เค้าว่าดีมันจะต้องดีเลิศเลอเกินไป ไอ้ที่เขาว่าขำ มันต้องขำก๊าก อะไรประมาณนั้น
การอ่าน fiction มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวมาก เรื่องราวบางจุด จะสามารถทำให้บางคนชอบ บางคนชัง ไม่เหมือนกัน เรื่องบางเรื่องพอมีจุดที่ไม่ถูกใจมากๆ เป็นส่วนตัวซะแล้ว ก็สามารถไม่ถูกใจไปหมดทั้งเล่มได้ ซึ่งความรู้สึกของนักอ่านแต่ละคนก็เป็นส่วนตัวของใครก็ของใคร ไม่มีใครผิด ถูก มีแค่ ชอบ ไม่ชอบ เท่านั้นเอง
ตัวอย่างเช่น โดยส่วนตัวแล้วเราเป็นคนชอบตัวเอกที่อยู่ในกรอบศีลธรรมมากสักหน่อย ถ้าพระเอกเป็นฆาตกรฆ่าคนไม่กะพริบตา หรือเป็นจอมโจรปล้นเขาเป็นอาชีพ ทำอย่างไรก็ไม่สามารถให้คะแนนเล่มนั้นสูงๆ ได้ แม้จะอ่านได้ คิดว่ามันแค่เรื่องแต่ง บางทีอ่านแล้วสนุกดีด้วยซ้ำ แต่มักจะไม่รีวิว ไม่ให้คะแนน เพราะมันรู้สึกขัดๆ กับในใจอยู่ อะไรทำนองนี้
รีวิวของแต่ละคนก็คงมีจุดที่ชอบ ที่ไม่ชอบ ที่มีข้อจำกัดต่างๆ กันออกไป ดังนั้น สำหรับเรา รีวิวต่างๆ ก็เป็นความเห็นส่วนบุคคลซึ่งมีประโยชน์ แต่การอ่านรีวิวแล้วจะได้ประโยชน์ให้เต็มที่จากมันหรือไม่นั้น ก็ต้องมีเทคนิคนิดหน่อยค่ะ เทคนิคที่ตนเองได้เรียนรู้มาแล้ว จากความผิดพลาดหลายครั้ง และอยากเอามาแชร์กันในที่นี่ก็คือเรื่อง ความคาดหวังนี่ล่ะค่ะ
อ่านรีวิวหนังสือแล้ว ไม่ว่าจากของใคร เขาว่าสนุกมาก ไม่สนุกมาก ก็ต้องฟังไว้เป็นข้อมูล ฟังหูไว้หู อย่าเพิ่งเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ ตั้งใจให้เป็นกลางๆ คาดหวังแค่พอกลางๆ แล้วค่อยเปิดหนังสืออ่าน พิสูจน์ด้วยตัวคุณเอง ทำอย่างนี้แล้ว ก็จะได้ประโยชน์จากรีวิว โดยไม่เสียรสชาติการอ่านไปค่ะ
หนังสือเล่มนึงก็แพงๆ เนอะ ถือว่ามี Tips เล็กๆ อันนี้ ที่วันนี้นึกขึ้นมาได้และว่างพอจะเขียน จึงขอเอามาฝากกันในบทความสั้นๆ ครั้งนี้ค่ะ
Published on October 09, 2011 01:51
หลายเล่มมากที่ซื้อตามรีวิวคนอื่น (คนอื่นหลายคน)
แต่โอ้โห...
พออ่านจริงๆ แล้วไม่ใช่รสนิยมเราสักกะติด